บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
มีต้นกำเนิดที่ประเทศจีนซึ่งเรียกว่า “รัวเมง” แต่ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงเป็น”ราเมน” เส้นบะหมี่ถือเป็นสัญญลักษณ์อันโดดเด่นของวัฒนธรรมของประเทศจีน
เพราะเส้นที่ยาวหมายถึงอายุที่ยืนนานอาหารประเภทนี้จะมีการเสริฟกันในงานวันเกิดคนจีน
เหมือนกับที่เค้กจะเป็นสัญญลักษณ์ของวันเกิดของคนตะวันตก
ราเมนเป็นที่นิยมชมชอบของคนเมืองซับโปโรที่เกาะฮอกไกโดที่อยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นถึงขั้นเป็นเมนูอาหารหลักกันทีเดียวราเมนถูกดัดแปลงให้เป็นบะหมี่สำเร็จรูปโดยฝีมือของชาวญี่ปุ่นชื่อนายโมะโมะฟูกุ
อันโดะ ผู้ก่อตั้งบริษัท นิชชิน ฟู้ด
และเผยตัวสู่ตลาดโลกเริ่มจากตลาดอเมริกาเป็นแห่งแรกในปี ค.ศ. 1970 ในชื่อท้อป ราเมน
หลังจากนั้นหลายต่อหลายบริษัทไม่เว้นยักษ์ใหญ่อย่าง
ลิปตันหรือแคมเบลล์ก็ยังผลิตสินค้าแบบนี้ขาย
การแข่งขันของบะหมี่สำเร็จรูปทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามนิชชินก็ยังเป็นผู้ครอบครองตลาดอเมริกาซึ่งมีราคาขายซองละ
12.50 ดอลล่าร์ได้เกือบครึ่ง
และในตลาดโลกนิชชินมีส่วนแบ่งตลาด 15 % โดยทำรายได้ 10,000
ล้านดอลล่าร์ต่อปี
ตลาดบะหมี่ของโลกเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล
ซึ่งปัจจุบันนอกจากโรงงานผลิตในประเทศญี่ปุ่นและอเมริกาแล้ว ยังมีโรงงานผลิตบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ในอีกหลายประเทศที่ผลิตสินค้าชนิดนี้สู่ตลาดโลก
ได้แก่ ประเทศเกาหลี, จีน, สิงคโปร์ , ไทย ,อินโดนีเซียและมาเลเซีย
ราเมนของแต่ละประเทศจะแสดงถึงรสนิยมของลิ้นที่แตกต่างกันของคนแต่ละเชื้อชาติ
เกาหลีนิยมรสชาติร้อนของเครื่องเทศ ในขณะที่จีนชอบรสชาติสไตล์แบบเสฉวน
คนไทยเน้นความบางของเส้นบะหมี่และรสชาติที่มีความเผ็ดร้อนที่สุด
คนญี่ปุ่นชอบรสของอาหารทะเล ส่วนคนอเมริกันชอบรสเนื้อและไม่เผ็ด
ส่วนแบ่งการตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
มูลค่า 10,000 ล้านบาทในปี 2550 จะมีการแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดดังนี้
คาดการณ์ว่ายอดขายของสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วย
ซึ่งมีสัดส่วน 15% ของตลาดรวม มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท จะมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 50โดยจะเห็นได้จากในปี
2547 ที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดถ้วยและชามมีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า
10% ทำให้ยอดขายในปีดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 700 ล้านบาทโดยจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดดังกราฟ
อ้างอิง
http://www.mama.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น